เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาร่างกายเรา เห็นไหม สูงต่ำดำขาวนี่เรามองเห็นด้วยสายตา แต่ความรู้สึกเรามองกันไม่เห็น ทีนี้มองความรู้สึกไม่เห็นนี่ แล้วทำอย่างไรจึงมองเห็นล่ะ? มองตรงนี้ไง อยู่ที่ว่าวุฒิภาวะของใจนะ มันเสียสละได้ มันเป็นไปได้ เวลามาวัดนี่ คนที่มาวัด คนข้างนอกเขามองแล้วแปลกใจ ว่าคนมาวัดทำไมเวลามันเหลือเฟือ เขาทำงานกันทั้งวันๆ นี่เวลาเขาไม่มี แล้วคนมาวัด มาวัดกันได้อย่างไร พวกนี้ไม่มีเวลาเลยเหรอ นี้คนมันมองกันอย่างนั้นใช่ไหม

แต่ว่าคนถ้าหัวใจมันสูงขึ้นมา เวลาทำงานก็หน้าที่ทำงาน แต่คนเรามันอาหารกายอาหารใจไง มันเป็นสมบัติที่ละเอียด สมบัติเงินทองนี่เราว่าเป็นของเรานะ แต่พูดถึงเวลาพลัดพรากแล้วไม่ใช่หรอก เราใช้มันเป็นหรือใช้มันไม่เป็น ถ้าใช้มันไม่เป็นนะ “เป็นเจ้านาย” มีโยมมาหานะ เราบอกเลย “ถ้าเราใช้เขาเป็น เราใช้เขานี่ เพราะเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเราใช้เขาไม่เป็นนะ มันใช้เรา” เขาหัวเราะกันใหญ่เลย เพราะว่าเขามานะ เขาบอกว่ามีเพื่อนเขามา เช็ดรถทั้งวันเลย มันต้องบังคับให้ไปเช็ดรถ มันใช้เรา เห็นไหม เราไปติดมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราใช้เขานี่ปัจจัยเครื่องอาศัย เราว่าเป็นของเราแต่ไม่ใช่ แต่ว่าถ้าเราละเอียดเข้าไปล่ะ นี่ละเอียดเข้าไปนี่ เราสละมาทำไมกัน เรามาวัดน่ะมาทำไมกัน ทุกคนเกิดมานะเราหัวใจนี่มันป่วยทุกคน ป่วยทุกคนเพราะมันมีอวิชชา อวิชชามันถึงมาเกิดอีก ถ้าคนเราไม่มีอวิชชาจะไม่มาเกิดอีก นี้คนเราป่วยนี่ ถ้าคนรู้จักว่าป่วยคนนั้นมีโอกาสหาย ถ้าคนไม่เข้าใจว่าป่วย คนนั้นมันจะหายหรือ นี่ไปวัด เห็นไหม ไปวัดคือวัดใจตัวเอง

เวลาเรามา นั่งกันเฉยๆ นี่ เวลานั่งสมาธิ ใครจะบังคับตัวเองได้บ้าง เวลางานนะ อาบเหงื่อต่างน้ำ เวลางานนี่ยาก แต่เวลางานเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราเอาไว้ไม่ได้นะ เห็นไหม ถ้าเอาไว้ได้ล่ะ ถ้าเอาไว้ได้สมบัติมันจะเกิดขึ้นมาตรงนี้ไง สมบัตินี่ ความสงบ ความสุขเท่ากับจิตของใจเราสงบไม่มี เรื่องของข้างนอกเราหามาขนาดไหนน่ะอามิส สุขโดยอามิส สุขโดยเราหาสิ่งใดมา พอใจมา เราก็มีความสุข ถ้าสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เราก็เป็นความทุกข์ เป็นความสุขและทุกข์เกิดจากอามิสนะ

เวลาลูกมาอะไรมา โอ้โหย... ชื่นใจมากเลย เวลาลูกไปเรียนกลับมานะ แต่เวลามันจะไปโรงเรียนมัน เห็นไหม ทุกข์ไหม มันอาลัยอาวรณ์ สุขอันนี้มันสุขๆ ทุกข์ๆ ตลอดไป แต่ถ้าจิตมันสงบ มันสุขตลอดไปนะ สุขอันนี้ไม่ใช่สุขเกิดจากอามิส สุขจากเราควบคุมใจเราได้ แล้วจะควบคุมใจเราได้นี่ มันก็เริ่มต้นตรงนี้ไง ต้องมีความเชื่อนี้ไง ถ้าไม่มีความเชื่อเราจะไม่มาวัดกัน ถ้ามีความเชื่อเห็นไหม หัวรถจักรมันจะลากเราเข้ามาวัด มาวัดทำบุญกุศลนี่อันหนึ่ง อันนี้เขาเรียกทาน นี่อามิส

แต่ถ้าเราได้ฟังธรรม ธรรมอันนี้มันจะตอกย้ำเรา สิ่งที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่อยู่ข้างๆ ตัว แต่เราคิดกันไม่ถึง อยู่กับเรานี่เราคิดไม่ถึงเลย ของที่อยู่ในหัวใจเรา เราก็คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่มีสมบัติคือความรู้สึก แต่เราไปดูว่าสมบัตินี้คือตัวเลขในบัญชี ตัวเลขในธนาคาร เราไปดูกันตรงนั้นไง ตรงนั้นน่ะนะเขาเป็นสมมุติ ถ้าเขายกเลิกนะ อันนั้นจะไม่มีค่าเลย

แต่สิ่งนี้มันต้องอาศัยกัน มันใช้กันเพราะอะไร? เพราะนี่เห็นไหม ถ้าเราทำบุญกุศล เวลาเราประกอบสัมมาอาชีวะ มันจะมีคนช่วยเหลือ มันจะเจือจานกันไป แต่ถ้าเรานะ เราทุกข์เรายากมา เราคนทุกข์คนเข็ญใจมา ทำอะไรติดขัดไปหมดเลย นี่มันก็เริ่มจากอำนาจวาสนา มันวัดกันไม่ได้ อำนาจวาสนาวัดกันไม่ได้ แล้วหัวใจที่วัดกันไม่ได้นี่ วุฒิภาวะของใจที่มันสละได้ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติกัน เราอยากหาความสุขกัน เห็นไหม เวลาไปปฏิบัติแล้วทำไมใจเราไม่สงบ ทำไมไม่เป็นไป มันจะเอาตรงนี้ไง แต่มันไม่สาวไปหาเหตุ เหตุเห็นไหม

ถ้าเราถือศีลก่อน ถ้ามีศีลปกติ มันจะปกติ ถ้าเรากำลังเดินเคลื่อนไหวอยู่ แล้วเราจะให้จิตสงบ จะสงบได้ไหม เราต้องนั่งลง เราต้องเดินจงกรม ต้องให้มีสติอยู่นี่ จิตมันสงบเข้ามา ถ้าการเคลื่อนไหวอยู่ เห็นไหม ศีลถ้าไม่บริสุทธิ์ พอทำไปมันเกิดนิวรณ์ ความลับไม่มีในโลกนะ เรานี่ทำพรากของเขียว เราทำอะไรที่เป็นทุศีล แล้วเรามานั่งภาวนาอยู่นี่ มันจะบอกเลยแหละ “มึงหลอกตัวเองๆ” ยิ่งหลอกตัวเอง ความคิดมันยิ่งฟุ้งซ่าน

เพราะอะไร? เพราะนี่เราเชื่อนะ ความดีนี่เราเชื่อ แต่ในใจอีกความคิดหนึ่งก็ จิตมีหรือเปล่า? เป็นได้หรือเปล่า? เห็นไหม ไอ้ที่ว่า “มีหรือเปล่า? เป็นไปได้หรือเปล่า?” นี่กิเลสของมันในหัวใจ แล้วถ้าเราไปทำสิ่งเป็นความลับที่ว่าไม่มีในโลกที่เรารู้อยู่นี่ ทีนี้มันจะเกิดขึ้นมา มันจะเป็นนิวรณธรรม มันจะเป็นความฟุ้งซ่าน มันจะคิดว่า “นี่หลอกตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้”

แต่ถ้าศีลบริสุทธิ์นะ ศีลเราปกติ คำว่าบริสุทธิ์นี่มันเคยผิดพลาดมาแล้ว...แล้วกันไป ถ้าเราต่อศีล เราวิรัติเกิดขึ้นมาในปัจจุบันนี้ ถ้าในปัจจุบันนี้เราจะนั่งสมาธินี่บอกเดี๋ยวนี้เรานั่งสมาธิ ขอให้ศีลบริสุทธิ์เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เห็นไหม ตรงนี้บริสุทธิ์ สิ่งที่มันล่วงมาแล้ว อันนั้นมันเป็นความผิดพลาด มันเป็นการพลั้งเผลอ อันนั้นมันเป็นเรื่องของกรรม แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเราถือศีลบริสุทธิ์ขึ้นมา เห็นไหม เพื่อไม่ให้จิตมันกวัดแกว่งไง แล้วความสุขมันจะเกิดขึ้นมา

ถ้าคนเห็นสมบัติอย่างนี้ เห็นไหม วุฒิภาวะ ใจสูงใจต่ำตรงนี้ แล้วใจสูงต่ำ ดูสิ เราสละสมบัติอย่างหยาบๆ นะ เวลาพระเวสสันดรสละลูกสละเมีย เห็นไหม ออกไปนี่เขาบอกว่า “เห็นแก่ตัว” ทำไมไม่สละตัวเอง ถ้าเรารักลูกรักเมียนะ เมียเรานี่เราแสนรัก ลูกก็แสนรักเลย ถ้าเขาจะบอกว่าให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยแทนลูกแทนเมีย เราทำได้หมดล่ะ แต่เขาไม่เอา เขาต้องการเอาลูกเอาเมียเพราะอะไร? เพราะมันสะเทือนหัวใจไง เรารักของเรานะ แล้วชูชกขอไปต่อหน้า แล้วตีต่อหน้าเรา มันเจ็บปวดไหม เราเจ็บปวดขนาดไหน เจ็บปวดนี่เจ็บปวดเพื่ออะไร?

นี่โพธิญาณไง ความรู้สึกไง มันสะเทือนความรู้สึก แต่โลกเรามองกันแต่เรื่องวัตถุ มองเห็นกันด้วยตาไง ว่าเห็นแก่ตัว ทำไมสละลูกสละเมียไป ทำไมไม่สละตัวเองไป สละสิ ขอเราได้ไหม ขอเราแทนสิ อย่าขอลูกขอเมียสิ เราจะไปทำแทนได้หมดเลย เพื่อจะได้บุญกุศลมา มันไม่เป็นอย่างนั้นสิ เพราะขอลูกขอเมียไป แต่สุดท้ายแล้วบุญกุศลมันมี เห็นไหม อันนั้นสละไป

แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาแล้ว นี่สละสมบัติจากทางโลกมาเพื่อมาเจอทางธรรม เอาทางธรรมเอาที่ไหนล่ะ? เอาทางธรรมก็เอาความรู้สึกไง เอาความรู้สึกนี่ แล้วความรู้สึกหลอกกันได้ไหม ถ้าความรู้สึกเวลามันเจริญขึ้นมา มันเจริญได้นะ เวลามันเสื่อม มันเสื่อมไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีโพธิญาณมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นเรื่องของฤๅษีชีไพร ทำความสงบของจิตเฉยๆ เห็นไหม นี่แม้แต่เรื่องความรู้สึกมันก็ยังมีผิดมีถูก มีความละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก

แล้วถ้าวุฒิภาวะเราไม่มี หรือว่าอำนาจวาสนา ภาระคือกำลังของจิตมันไม่พอ เห็นไหม มันเห็นเป็นวิปัสสนึก มันเห็นเหตุการณ์ต่างๆ มันก็เชื่อตามสิ่งสภาวะแบบนั้นไป พอถึงที่สุดแล้วนะ มันก็เสื่อม เพราะอะไร? เพราะในหัวใจเรามีความเชื่อและความคัดค้านในหัวใจ แล้วความคัดค้าน ความที่ไม่เชื่อนี่ ถ้ามีกำลังมากขึ้นมาเราจะถอยกรูดๆ เลย จิตมันจะเสื่อมหมดเลย

แต่ถ้าขณะที่ความเชื่อเกิดขึ้นมา ความเชื่อความศรัทธาเราเกิดขึ้นมา มีกำลังขึ้นมา มีกำลังเราทำของเราขึ้นไปได้ เห็นไหม มันต่อสู้จนจิตมันสงบ แล้วถ้าเกิดวิปัสสนาไป ปัญญามันเกิดขึ้นไป ปัญญามันชำระกิเลส เห็นไหม ปัญญานี่คนไม่เห็นพูดไม่ได้ คนจะเห็นปัญญาของเรา นี่สุตมยปัญญา ปัญญาจากสมอง สมองคือการศึกษา คือการจดจำมา นี่คือการศึกษาเล่าเรียน

จินตมยปัญญา จินตนาการต่างๆ การจินตนาการ ไอน์สไตน์บอกเลย จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ถ้าไม่มีจินตนาการนักวิทยาศาสตร์เกิดมาไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ต้องจินตนาการแล้วพยายามวิจัยต่างๆ ให้มันเป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม นี่จินตนาการ จินตมยปัญญามันก็ชำระกิเลสไม่ได้ เพราะมันไม่เป็นความจริง ถ้าพิสูจน์แล้วเป็นความจริงมันก็เป็นความจริงของวิทยาศาสตร์ เป็นความจริงทางโลก

แต่ถ้าความจริง ภาวนามยปัญญา เห็นไหม มันความจริงจากความรู้สึก เพราะอะไร? เพราะความจริงของเรา ความลังเลสงสัยของเรา ความทุกข์เป็นของเรา ความมักง่าย ความต้องการในหัวใจเป็นของเรา ถ้าความต้องการขนาดไหน จิตมันพร่อง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา จิตมันเข้ามา เห็นไหม นี่สิ่งนี้ สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมานี่ สิ่งที่ละเอียดอ่อน นี่อริยภูมิจากภายในหัวใจ มันต้องมีความสละออกมาอย่างนั้น

พอสละสิ่งนี้มา เข้าใจสภาวะสิ่งต่างๆ แล้ว เรื่องสัจจะความจริงจะเกิดขึ้นมา สัจจะ อริยสัจจะ ถ้าเรามีสัจจะ เห็นไหม ศีลก็บริสุทธิ์ ทุกอย่างบริสุทธิ์ปกติหมด ถ้าเรามีสัจจะ คนมีสัจจะ คนเป็นสุภาพบุรุษ น่าคบไหม คนที่ไม่มีสัจจะ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ น่าคบไหม แล้วหัวใจเรานี่น่าคบไหม หัวใจมันมีสัจจะของมันเอง หัวใจเป็นอริยสัจจะขึ้นมา มันมีปัญญาของมันขึ้นมา แล้วมันทำลายของมัน แล้วน่าคบไหม คบกับอะไร? คบกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

นี่มรรค ๘ ความดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ งานชอบนะ งานทำมาหากินอาบเหงื่อต่างน้ำ นั่นงานสัมมาอาชีวะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง งานสัมมาอาชีวะจากภายในหัวใจ คิดผิดคิดถูก คิดชั่วคิดดี คิด...ความคิดเกิดจากใจ ไม่ใช่ใจ ความคิดเกิดดับ แล้วมีปัญญาอันหนึ่งมาชำระสะสางความคิดอันนี้ให้มันสะอาดเข้ามา แล้วพอสะอาดเข้ามาจนถึงที่สุดมันไปตัดทอน ตัดทอนสิ่งที่เป็นสังโยชน์ สิ่งเครื่องร้อยรัดนะ

ดูสิ ดูอย่างเครื่องยนต์กลไกเขาต้องมีสกรู ต้องมีนอตขันไว้ เพื่อประกอบขึ้นมาเป็นเครื่อง เห็นไหม เป็นเครื่องยนต์มันจะประกอบได้ ถ้ามันหลวมมันใช้งานไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน สังโยชน์มันร้อยรัด ระหว่างความเชื่อและความไม่เชื่ออยู่กับหัวใจ ความไม่เชื่อเป็นกิเลส ความเชื่อเป็นธรรม แต่กิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันขณะที่เราก้าวเดินอยู่นี่ เราถึงไปวัด ไปวัดใจเราไง ไปวัดไปทำเพื่อหัวใจของเราไง

ถ้าวัดสภาวะสิ่งนี้ขึ้นมาได้ นี่อริยภูมิขึ้นมาจากภายในนะ สิ่งที่เกิดจากภายใน สิ่งต่างๆ โลกนี้เป็นสมมุติ มันจริงตามสมมุติ ไม่ใช่ไม่มี มีจริงตามสมมุติ แต่มันเป็นอนิจจัง มันอยู่ชั่วคราว ไม่มีสิ่งใดคงที่ สิ่งต่างๆ แม้แต่ชีวิตเราก็ไม่คงที่ ชีวิตเราที่เป็นมนุษย์นี่ แต่ถ้าเป็นอริยภูมิแล้วคงที่ คงที่เป็นอกุปปธรรม ความรู้สึกอันนี้จะอยู่คงที่ตลอดไป ไม่มีการพร่อง เราต้องการทรัพย์อันนี้กัน เราต้องการความละเอียดลึกซึ้งในหัวใจเรากัน เราถึงไปวัดไปวาไง

ทำบุญกุศลนี่เป็นทานนะ ทานเป็นบาทฐาน ทานนี่เวลาสละไป เห็นไหม เหมือนเสาเข็ม เหมือนคานคอดิน มันอยู่ในดินไม่มีใครเห็นหรอก นี่ก็เหมือนกัน เราสละขนาดไหน จิตใจเราจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะอะไร? เพราะจิตใจเรามีคุณค่าเหนือกว่าสมบัติที่เราสละออกไป ถ้าจิตใจเราไม่มีคุณค่าเหนือสมบัติที่สละออกไป มันมีความผูกพันอยู่มันสละออกไปไม่ได้ ถ้าจิตใจเรามีคุณค่ามากกว่าวัตถุ เพราะเราสละวัตถุออกไปได้ เห็นไหม นี่วัตถุจะออกไปได้

อารมณ์ความขุ่นมัว ความทุกข์ในหัวใจ พยายามสละมันออกไป ถ้าเราสละได้ไปเรื่อยๆ นี่การเสียสละ ถ้าการเสียสละ จิตมันก็เป็นเอกเทศเข้ามา แล้วจิตมันพัฒนาเข้ามา นี่สมบัติจากภายในมันก็จะเกิด เพราะวุฒิภาวะของใจมันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นไหม นี่ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง

ฟังธรรม เห็นไหม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำเพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น ถึงที่สุดการฟังธรรมคือความสว่างไสว คือความเข้าใจของหัวใจ นี่ความสุขอันนี้มันจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา เราฟังธรรม ธรรมคืออะไรล่ะ? ธรรมคือสภาวธรรม คือสภาวะความเกิดดับ สภาวะความนึกคิด สภาวะการเกิดการตายของจิต จิตที่มันขุ่นมัว จิตที่มันเศร้าหมอง จิตที่มันผ่องใส แต่อาศัยสิ่งหยาบๆ เข้ามาก่อน แบบไฟฟ้ามันต้องอาศัยสื่อ อาศัยสายไฟฟ้า ไฟฟ้ามันถึงจะเคลื่อนไปได้

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นความรู้สึก มันอยู่ในหัวใจของมนุษย์ มันอยู่ในใจของเรา ก็ต้องอาศัยสิ่งพิธีกรรม สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาเพื่อจะให้ย้อนกลับเข้ามาถึงภายใน นี่เราจะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน เราไม่ใช่ไปวัดกันเฉยๆ เราไปวัดกันเพื่อพัฒนาตัวหัวใจของเรา เราพัฒนาเพื่อหัวใจของเราให้มันพัฒนาขึ้นมา ให้ถึงที่สุดแล้วเราเข้าใจตัวของเราเอง เราจะไม่สงสัยการเกิดและการตาย เห็นการเกิดและการตายชัดเจน เกิด...เกิดจากไหน? ตาย...แล้วตายแล้วไปไหน? แล้วถ้าไม่เกิด...ไม่เกิดเพราะอะไร?

สิ่งใดออกไปจากใจ เห็นไหม นี่วุฒิภาวะที่อยู่ในหัวใจนี่ใครจะวัดกันได้ ใครจะรู้ได้ว่าสิ่งในหัวใจของมนุษย์นี่ใจใครประเสริฐ ใจใครต่ำทราม ใจใครเป็นอย่างไร ใครวัดกันได้ แต่ธรรมะวัดได้ วัดได้ด้วยการ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ นี่คบบัณฑิตคบธรรม แล้วเราจะเจริญพัฒนา พัฒนาขึ้นมานะ

เกิดมานี่เกิดมามีบุญมีกรรมต่อกัน เกิดมาอาศัยร่วมกัน แต่เวลาจากพรากไป ของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน การกระทำของใครของเขา ถึงที่สุดเห็นการเกิดและการตาย ถึงที่สุดนะ หัวใจนี่ผ่องแผ้ว แล้วหัวใจเห็นไหม ดูสิ เวลาพระอาทิตย์ขึ้นนี่สว่างไปทั่วโลกเลย เวลาพระอาทิตย์ตก เห็นไหม มืดไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่เข้าใจสภาวะตามความเป็นจริง สว่างในหัวใจของเราก่อนนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราเป็นช่างซ่อม เราเป็นช่างเครื่อง แล้วเครื่องยนต์กลไกมันเสียทำไมเราจะซ่อมไม่ได้ ทำไมจะรู้ไม่ได้ เราเป็นคนขับรถ เราไม่ใช่ช่างซ่อมเราจะไม่รู้อะไร ใช้ไปเฉยๆ ชีวิตนี้เหมือนกัน ใช้ไปเฉยๆ เราใช้ชีวิตไปเฉยๆ แต่เราไม่ใช่ช่างซ่อม เราไม่สามารถแก้ไขได้

แต่ถ้าเราเชื่อแล้วเราปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถที่จะเข้าไปทำให้ใครได้ แต่สามารถชี้ได้ ช่างใหญ่ หมายถึงว่า ช่างใหญ่ นายช่างใหญ่ เป็นผู้สั่งสอน เป็นผู้กระทำ เพราะเครื่องยนต์อันนี้เป็นเครื่องยนต์จากความรู้สึก เครื่องยนต์นี้เป็นเครื่องยนต์จากภายในหัวใจ มรรค ๘ นี่ มรรคญาณเข้าไปแก้ไขชำระดัดแปลงขึ้นมา จนเครื่องนี้เป็นเครื่องของเรา ไม่ใช่เครื่องของสมมุตินะ เครื่องสมมุติเกิดตายๆ เครื่องของเรามันจะไม่เกิดไม่ตาย อยู่กับเราตลอดไป เอวัง